เพื่อนๆรู้หรือไม่ว่า ร่างกายเราสะสมไขมันไว้ในร่างกายถึง3ส่วน คือ ไขมันในหลอดเลือด ไขมันใต้ชั้นผิวหนัง และไขมันในช่องท้อง
ไขมันในร่างกายของเรามีหลายชนิดด้วยกัน บางชนิดมีประโยชน์มาก ช่วยห่อหุ้มอวัยวะภายใน บางชนิดมีไว้เพื่อรักษาอุณหภูมิในร่างกาย บางชนิดมีไว้งั้นๆเอาไว้หนักร่างกายเฉยๆ .... แต่มีไขมันชนิดหนึ่งในร่างกายที่เปรียบเสมือนระเบิดเวลา ยิ่งมีไขมันชนิดนี้มากอาจทำให้เกิดโรคที่ถึงแก่ชีวิตได้เลยทีเดียว เจ้าไขมันชนิดนี้เรียกว่า Visceral Fat มันเป็นอย่างไรมารู้จักกับมันกันเลยครับ
โดย ปกติถ้าเราพูดถึงไขมัน เราก็จะนึกถึงสิ่งที่นุ่มๆอยู่ใต้ผิวหนังของเราใช่ไหมครับ ยิ่งเราอ้วนขึ้นมากเท่าไร ไขมันใต้ผิวหนังก็จะมากขึ้นเรื่อยๆ เจ้าไขมันพวกนี้หลายคนไม่ชอบมันเลยเพราะมันทำให้ดูอ้วน แต่จริงๆแล้วไขมันพวกนี้ไม่เป็นอันตรายต่อร่างกายเท่าไรครับ มันเป็นแหล่งพลังงานสำรองของร่างกายที่ขนมาเก็บไว้เท่านั้น ไม่ใช่เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บ (แค่มันทำให้เราดูอ้วน ซึ่งจริงๆก็ไม่มีใครชอบเท่าไรนัก -_-" )
แต่ไขมันตัวร้ายจริงๆอยู่อีกที่หนึ่งครับ ไขมันชนิดนี้เรียกว่า Visceral Fat ซึ่งอาศัยอยู่ภายในบริเวณช่องท้องครับ มันอยู่ลึกลงไปในท้องของเรา มันเป็นไขมันที่ห่อหุ้มอวัยวะภายใน ไขมันชนิดนี้จะแข็งกว่า มันเป็นไขมันที่ทำให้พุงของเราแข็งเสมือนกับกินลูกบอลลงไปเลยยังไงยังงั้น ทุกๆคนมีเจ้านี่เป็นจำนวนที่แตกต่างกันไป ไขมันชนิดนี้ยิ่งมีเยอะยิ่งอันตราย มันเกี่ยวข้องกับโรคร้ายแรงหลายชนิดทีเดียว เช่น โรคหัวใจ, โรคเบาหวาน, โรคความดันสูง และโรคอื่นๆอีกมากมาย
มันไม่เหมือนกับไขมันใต้ผิวหนังครับ ไขมันใต้ผิวหนังเกิดจากการที่เรารับแคลอรี่มากเกินกว่าที่ร่างกายจะใช้หมด ร่างกายจึงนำไปเก็บสะสมไว้ ...แต่ Visceral Fat เกิดจากการที่เรามีไลฟ์สไตล์ที่มีการเคลื่อนไหวน้อยในแต่ละวันครับ
มีงานวิจัยกับผู้หญิงที่เป็นโรคอ้วนและเบาหวาน โดยได้แบ่งกลุ่มตัวอย่างออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มแรกให้ควบคุมอาหารเพียงอย่างเดียว ส่วนกลุ่มที่สองให้ควบคุมอาหารพร้อมๆกับการออกกำลังกาย
อีกงานวิจัยหนึ่งพบว่าการออกกำลังกายแบบแอโรบิคเป็นเวลา 45 นาที 5 วันต่อสัปดาห์ สามารถช่วยลด Visceral Fat ในผู้ที่เป็นโรคอ้วนที่มีอายุระหว่าง 50-75 ปี ได้ 3.4-6.9% ด้วยกัน
รูปข้างล่างเป็นภาคตัวขวางลำตัวมนุษย์ สีขาวข้างนอกคือไขมันใต้ผิวหนัง ส่วนสีขาวข้างในคือ Visceral Fat ซึ่งจะเห็นว่าแม้ในคนที่มีรอบเอวเท่ากัน แต่ Visceral Fat จะมากน้อยต่างกันก็เป็นได้
หลายๆ คนเมื่อเริ่มออกกำลังกายไปสักพักจะพบว่า กางเกงหลวมขึ้นทั้งๆที่น้ำหนักยังคงที่เท่าเดิม คำอธิบายโดยทั่วไปก็จะบอกว่า เพราะกล้ามเนื้อมีมากขึ้นและไขมันมีน้อยลง จึงทำให้น้ำหนักไม่เปลี่ยนแปลง(ประมาณว่าน้ำหนักไขมันลดลงแต่มีน้ำหนักกล้ามเนื้อมาแทน) แต่อีกหนึ่งสาเหตุที่เป็นไปได้ก็คือ Visceral Fat เป็นไขมันชนิดแรกที่ถูกเบิร์นจากการออกกำลังกาย ดังนั้นเมื่อ Visceral Fat ซึ่งแข็งและอยู่บริเวณช่องท้องหายไป เราจึงรู้สึกว่าพุงเรายุบลงครับ
มีวิธีตรวจสอบคร่าวๆว่าคุณมี Visceral Fat มากเกินไปหรือไม่ วิธีนี้เรียกว่า Waist-to-Hip Ratio Measurement
วิธีนี้ง่ายมาก มีเพียงสายวัดอันเดียวก็ทำได้แล้ว ให้หยิบสายวัดตัวขึ้นมาครับ จุดแรกให้วัดที่ เอว โดยห้ามแขม่วท้อง จุดที่สองให้วัดที่ส่วนที่กว้างที่สุดของสะโพก หลังจากนั้นนำค่าที่ได้มาหารกันดังนี้
ค่า Waist-to-Hip Ratio = รอบเอว / รอบสะโพก
ในผู้ชาย ถ้าค่าที่ได้ มากกว่า 0.95 แสดงว่ามี Visceral Fat มากเกินไป
ในผู้หญิง ถ้าค่าที่ได้ มากกว่า 0.80 แสดงว่ามี Visceral Fat มากเกินไป
อย่างที่บอกข้างต้น Visceral Fat ถูกสะสมหลักๆจากการที่เรามีไลฟ์สไตล์ที่อยู่นิ่งเป็นเวลานาน แม้ว่าคุณจะผอมคุณก็สามารถมีไขมันชนิดนี้สูงจนเป็นอันตรายได้ คนผอมที่เป็นโรคเบาหวาน ความดัน โรคหัวใจส่วนหนึ่งก็เพราะสาเหตุนี้แหละ
วิธีเดียวที่จะกำจัดไขมันอันตรายนี้ได้คือการเลือกกินอาหารที่มีประโยชน์ควบคู่ไปกับการออกกำลังกายเท่านั้น
ข้อมูลอ้างอิงจากสถาบัน ACSM ของประเทศสหรัฐบอกไว้ว่า เพียงแค่ทำคาร์ดิโอโดยการ เดิน วิ่ง หรือปั่นจักรยาน ให้ได้ 150 นาทีต่อสัปดาห์ (เช่น วันละ 30 นาที 5 วัน) ก็สามารถที่จะลด Visceral Fat ลงได้อย่างมีนัยยะสำคัญแล้วครับ ดังนั้นถ้าคุณยังไม่ได้เริ่ม มาขยับตัวเพื่อตัวเราเองกันนะครับ
---------------------------------
เพิ่มเติมจากเวป รพ.เทพธารินทร์
++ มีอะไรซ่อนอยู่ในพุง The Hidden Danger ++
ใช่ว่าหุ่นดีแล้วทุกอย่างจะดีไปหมดนะคะ เป็นที่ทราบกันดีว่าไขมันทำให้เกิดความอ้วน แต่คุณทราบหรือไม่ว่า คนไม่อ้วนก็มีไขมันสูงได้ บางสิ่งบางอย่างเรามองเห็นไม่ได้ด้วยตาเปล่า ต้องอาศัยเทคโนโลยีมาช่วยวัดค่า แล้วเจ้าไขมันก็ไม่ได้มีชนิดเดียว ที่ร้ายที่สุดเห็นจะเป็นไขมันในช่องท้อง หรือ visceral fat
Visceral fat ต่างจากไขมันชนิดอื่นๆ ในร่างกาย เกาะอยู่ตามอวัยวะภายในช่องท้อง ทำการกำจัดได้ยากกว่าไขมันใต้ผิวหนัง (subcutaneous fat) และเป็นปัจจัยเสี่ยงของการเกิดเมตะบอลิก ซินโดรมซึ่งรวมถึง โรคเบาหวาน โรคไขมันในเลือดผิดปกติ โรคความดันโลหิตสูง และ โรคหัวใจ
เกณฑ์ที่ใช้ในการประเมินภาวะอ้วนลงพุงเบื้องต้นคือ ผู้ชายไม่ควรมีรอบเอวเกิน 90 ซม.(36นิ้ว) และผู้หญิงไม่เกิน 80 ซม.(32นิ้ว) ... รอบเอวที่เพิ่มขึ้นทุกๆ 5 ซม. จะเพิ่มโอกาสเกิดโรคเบาหวาน 3-5 เท่า ตับจะทำการเผาผลาญ visceral fat เข้าสู่กระแสเลือด แปรสภาพเป็น LDL Cholesterol (low-density lipoprotein) หรือไขมันไม่ดี ซึ่งสะสมทำให้หลอดเลือดอุดตัน ... การศึกษาพบว่า ผู้ที่ไม่ออกกำลังกาย ผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์ และสิงห์อมควัน มี visceral fat สูงกว่าคนในกลุ่มอื่นๆ
Visceral fat นั้นกำจัดยากกว่า subcutaneous fat เพราะว่าไขมันชนิดนี้แทรกซึมและไชชอนอยู่ตามอวัยวะลึกกว่าชั้นผิวหนัง สามารถวัดได้ผ่านเครื่องมือทันสมัย เช่น เครื่องวัดองค์ประกอบร่างกาย Body composition เท่านั้น โดยปริมาณ visceral fat ไม่ควรเกิน 100 ตารางเซนติเมตร แน่นอนว่าผู้ที่มีอาการอ้วนลงพุงนั้นมี visceral fat สูง แต่คนผอมก็อย่าได้ชะล่าใจ เพราะคุณอาจมี visceral fat สูงได้แม้ว่าคุณจะดูรูปร่างผอมเพรียวก็ตาม
การลดน้ำหนักโดยการรับประทานอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ ประกอบกับการออกกำลังกายสามารถลด visceral fat ได้ .. การศึกษาชิ้นหนึ่งพิสูจน์ว่าคนที่เดินเร็วเป็นเวลา 30 นาที สัปดาห์ละ 6 วัน มี visceral fat น้อยลง ..ในขณะที่คนที่เดินเร็วเพียง 3 วันต่อสัปดาห์ มีระดับไขมันคงที่ ... อย่างไรก็ตามการไม่ออกกำลังกายเลยจะทำให้ระดับไขมันเพิ่มสูงขึ้นตามอายุ การออกกำลังกายสามารถช่วยให้ระบบการเผาผลาญทำงานที่ขึ้น แต่หากไม่ได้รับการกระตุ้นก็จะเสื่อมลงไปตามอายุขัย ฉะนั้นเด็กจึงมีระบบการเผาผลาญดีกว่าคนสูงอายุ ทำให้สามารถรับประทานอาหารได้ปริมาณเยอะกว่า
รีบตรวจไขมันคุณวันนี้เพื่อรู้ความเสี่ยงและแก้ไขได้ทันท่วงที ไม่ต้องรอให้พุงโย้จนคนทัก
Do this: ไขมันในช่องท้องชี้ชะตาท่านได้ เข้ารับการตรวจ Body Composition วันนี้เพื่อประเมินความเสี่ยงต่อโรคเรื้อรังพร้อมวางแผนการออกกำลังกายและควบคุมอาหารของคุณ